จัดการความเครียดจากวิกฤตโควิด – 19
จัดการความเครียดจากวิกฤตโควิด – 19 ด้วยการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในการปรับใจ ความรู้สึก และความคิดของเรา สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้ และส่งผลในทางบวกแก่จิตใจของคนเราอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งคงต้องยอมรับว่า ความเครียดที่มีสาเหตุมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 นี้ เป็นความทุกข์ใจ เป็นความวิตกกังวลใจ เป็นความลำบากใจ เป็นความเครียดที่มีผลมาจากปัจจัยในภายนอก 100% และเป็นปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถเข้าไปควบคุม สั่งการ หรือแก้ไขให้ดีขึ้นได้โดยเร็ววันด้วยลำพังตัวเราเอง
ดังนั้น การที่เราจะจัดการกับความเครียดจากวิกฤติโควิด-19 ได้นั้น จึงไม่ใช่การเร่งเร้าเวลาให้ผ่านไปให้เร็วกว่านี้ หรือเร่งเร้าให้วิกฤตการณ์เช่นนี้ผ่านไปได้อย่างรวดเร็วทันใจเรา ไม่ใช่การเฝ้าแต่โทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือโทษคนนั้นคนนี้ว่าเป็นคนผิดหรือสมควรเป็นคนที่จะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
เราต้องทำความเข้าใจในความจริงข้อหนึ่งว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ ไม่ได้มีการแพร่ระบาดเฉพาะแต่ในประเทศของเราเท่านั้น แต่ว่ามีการแพร่ระบาดไปในทุกพื้นที่แทบจะทั่วทั้งโลกและ โอกาสที่คนไทยหรือประเทศไทยของเรามีโอกาสที่จะได้รับเชื้อหรือได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรคก็มีค่อนข้างสูง และที่สำคัญที่สุดก็คือ เชื้อโรคได้แพร่ระบาดในประเทศของเราแล้วและกำลังแพร่ขยายลุกลามไปในวงกว้างมากยิ่งขึ้น และทุกฝ่ายที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคก็พยายามทำงานกันอย่างเต็มที่
คงต้องยอมรับว่า มาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคต่างๆ นั้น ส่งผลกระทบต่อการการประกอบอาชีพและวิถีชีวิตของผู้คนเป็นอย่างมาก กินระยะเวลายาวนานพอสมควร หรืออย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสักระยะเวลาหนึ่ง เพื่อนำเอาทุกมาตรการมาบังคับใช้ในการควบคุมยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส จนกว่าคนไทยจะได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสจนครบหมดทุกคน
ดังนั้น ทางออกของปัญหาความเครียดที่เกิดจากวิกฤตโควิด -19 นี้ จึงไม่ใช่การใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว หวาดระแวง หรือวิตกกังวลมากจนเกินไป ไม่ปล่อยให้จิตใจต้องจมปลักอยู่กับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ เพียรเฝ้าโทษใครต่อใครว่าเป็นคนผิด เป็นจำเลยที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบที่ปล่อยให้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในระลอกใหม่นี้หรือค่อยแต่จะโทษระบบการบริหารจัดการที่ด้อยประสิทธิภาพไร้ประสิทธิผล
ทางออกของปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้นซึ่งเราทุกคนสามารถทำได้ และต้องเริ่มลงมือทำกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปก็คือ “การยอมรับความจริง” แล้วนำไปสู่การศึกษาหาความรู้ ทำความรู้จักและวิธีการรับมือกับเชื้อไวรัสชนิดนี้ ด้วยการศึกษาทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า
1. เชื้อไวรัสมีการแพร่กระจายไปได้โดยพาหะใดบ้าง
2. สามารถเกาะติดอยู่บนอวัยวะของคน สัตว์ และพื้นผิวของวัสดุใดได้บ้าง
3. เมื่อเกาะติดอยู่ตามอวัยวะของคน สัตว์ และพื้นผิวของวัสดุต่างๆ แล้ว เชื้อไวรัสสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้กี่ชั่วโมง กี่วัน กี่สัปดาห์ หรือกี่เดือน
4. มีสารเคมีตัวใดบ้างที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสตัวนี้ให้ตายได้
5. มีวิธีการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากการรับเชื้อจากผู้อื่นหรือแพร่กระจายเชื้อให้กับผู้อื่นได้อย่างไร
6. มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัดเป็นอย่างไร และโดยภาพรวมทั้งประเทศเป็นอย่างไร
7. การประกอบอาชีพ หรือการทำงานในสถานประกอบการประเภทใดบ้างที่สามารถทำได้และไม่สามารถทำได้ และหากเปิดโอกาสให้สามารถทำได้ ต้องมีระยะเวลาการเปิดทำการและปิดทำการ ถูกจำกัดเวลาไว้ตั้งแต่เวลาไหนถึงเวลาไหน
8. มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่องาน อาชีพ ชีวิตประจำวัน และวิถีชีวิตของเราอย่างไรบ้าง
9. หากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องส่งผลกระทบต่องาน อาชีพ ชีวิตประจำวัน และวิถีชีวิตของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เราจะมีวิธีการเอาตัวรอดจากผลกระทบดังกล่าวได้อย่างไร
10. หากงาน อาชีพ ชีวิตประจำวัน และวิถีชีวิตของเราได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว เราต้องการให้รัฐบาลเยียวยาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเราอย่างไรบ้าง
11. หากเรายังไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน อันมีผลมาจากมาตรการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จากรัฐบาล ทางออกของปัญหาที่เราสามารถทำได้คืออะไร
12. หาวิธีการรับมือ การจัดการกับอารมณ์ ความเครียด ปัญหาต่างๆ ที่มีผลพวงมาจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล ที่อาจสร้างความเดือดร้อน และก่อปัญหาโดยตรงกับระบบเศรษฐกิจ การขาดรายได้ และขาดโอกาสในการแข่งขัน
การสร้างความตระหนักรู้ การสร้างความรู้เท่าทัน เพื่อให้สามารถเตรียมตัว เตรียมใจ ระวังป้องกัน และสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ ได้อย่างถูกต้องตรงจุด ตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 11 ข้างต้นนั้น ถือเป็นการปฏิบัติเพื่อให้มีความรู้เท่าทันโรค สามารถปรับตัว ปรับวิถีชีวิตให้สามารถดำเนินไปได้อย่างเป็นปกติที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ อย่างที่เรียกกันจนคุ้นหูว่า “ชีวิตปกติวิถีใหม่ – New Normal” ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักอยู่ ณ ขณะนี้ อันเป็นส่วนของการเตรียมตัวทางกายภาพ และทางจิตภาพในเบื้องต้น
แต่สำหรับการเตรียมตัวทางจิตภาพแบบเชิงลึกในข้อที่ 12 นั้น ถือเป็นการเตรียมใจ เพื่อปรับปรุง พัฒนาจิตใจให้มีความแข็งแกร่ง มีความแข็งแรง มีความพร้อมสำหรับการรับมือกับอารมณ์ ความเครียดต่างๆ ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือปัญหาความยุ่งยากต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ที่มีสาเหตุมาจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล ที่ต้องยอมรับว่า ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ รายได้ และวิถีชีวิตของผู้คนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาวะทางจิตใจ ซึ่งถ้าหากไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาทางจิตใจที่ดีพอ หรืออย่างทันท่วงที ก็อาจส่งผลเสียร้ายแรงตามมาอย่างยากที่จะคาดการณ์ได้
การจัดการกับความเครียด อันมีสาเหตุมาจากจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น นอกจากจะมุ่งไปที่ประเด็นของการตระหนักรู้ การทำความเข้าใจ และการปรับตัวให้สามารถมีชีวิตอยู่ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (ชีวิตวิถีใหม่ – New Normal) แล้ว หนึ่งในวิธีการจัดการกับความเครียดที่มีผลเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป สามารถนำมาใช้เยียวยารักษาอารมณ์และสภาพจิตใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ วิธีการคลายเครียดในทางพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า “การฝึกสมาธิ” นั่นเอง
“แพรวด้วยความรู้ พราวด้วยประสบการณ์”