ความหมาย
“สัตว์ดิรัจฉาน“, “สัตว์เดรัจฉาน” หรือ “สัตว์เดียรฉาน” มาจากศัพท์บาลีว่า “ติรจฺฉานโยนิ” แปลว่า “กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน”
ดิรัจฉาน แปลว่า “ผู้เจริญไปในทางขวาง” เพราะหากจะพิจารณาจากรูปลักษณ์ของสัตว์ดิรัจฉานส่วนมากแล้ว ก็จะเห็นว่า สัตว์ดิรัจฉานจะมีลำตัวขนานไปกับพื้นโลก ไม่ได้มีร่างกายตั้งตรงตั้งฉากกับพื้นโลกเหมือนกับมนุษย์
หากจะกล่าวกันโดยเนื้อหาสาระแล้ว ความหมายที่พึงเข้าใจได้ง่ายก็คือ สัตว์ที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยสัญชาติญาณพื้นฐานทั่วไป มีสติปัญญาในการพัฒนาร่างกายและจิตใจได้น้อยกว่ามนุษย์ และไม่สามารถพัฒนาจิตจนกระทั่งบรรลุความเป็นพระอริยบุคคล หรือบรรลุมรรคผลใดๆ ในชาติที่เป็นสัตว์ดิรัจฉานนั้นได้
จึงมักจะมีชื่อเรียกสัตว์ดิรัจฉานอีกชื่อหนึ่งว่า “อภัพพสัตว์” แปลว่า “ผู้มีคุณสมบัติไม่เหมาะหรือไม่ควรแก่การได้บรรลุมรรคผลและนิพพาน (ในขณะที่เป็นสัตว์ดิรัจฉานนั้น)”
ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนานั้น “สัตว์เดรัจฉาน” ก็คือเป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในอบายภูมิเดียวอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกันกับสัตว์นรก เปรต และอสุรกาย ต่างกันก็แต่เพียงว่า สัตว์ดิรัจฉานนั้น อยู่ในภพภูมิเดียวกันกับมนุษย์ ซึ่งมนุษย์สามารถมองเห็นได้ และมักมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น ในฐานะเป็นอาหารของมนุษย์ ในฐานะเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ ในฐานะสัตว์พาหนะของมนุษย์ ในฐานะสัตว์ผู้ใช้แรงงานให้มนุษย์ และในฐานะของสัตว์ผู้ร่วมโลกกับมนุษย์ ซึ่งมีลักษณะร่วมกันกับมนุษย์ก็คือ มีความเกิด แก่ เจ็บ และตาย มีความทุกข์กายทุกข์ใจ หรือสุขกายสุขใจได้ เช่นเดียวกันกับมนุษย์เรา ต่างก็แต่ว่าสัตว์ดิรัจฉานนั้นจัดอยู่ในทุคติภูมิหรืออบายภูมิอย่างหนึ่ง ซึ่งจะมีความลำบาก ความยากแค้นลำเค็ญในการใช้ชีวิต ในการเสี่ยงต่อภยันตรายต่างๆ ทั้งจากพวกเดียวกันเอง สัตว์ผู้ล่า และจากมนุษย์
ตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนานั้นถือว่า สัตว์เดรัจฉานเกิดจากที่ผู้นั้นได้ทำกรรมเอาไว้ในวัฏสงสารตั้งแต่ชั้นพรหมลงมา หมายความว่า ผู้ที่ทำกรรมชั่ว หรืออกุศลกรรมที่มีผลทำให้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานนั้น สามารถเกิดขึ้นได้กับภพภูมิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรือว่าเกิดเป็นระดับพรหมแล้วก็ตาม หากมีบุพกรรมที่ประกอบด้วยอกุศลอันเป็นปัจจัยให้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานได้แล้ว ก็มีโอกาสได้มาถือกำเนิดในสัตว์จำพวำสัตว์ดิรัจฉานได้ทั้งนั้นเหมือนกัน
สัตว์ดิรัจฉานแบ่งได้เป็น 4 ประเภท
1. อปทติรัจฉาน คือ สัตว์ดิรัจฉานที่ไม่มีขาและไม่มีเท้า เช่นสัตว์จำพวก งู ไส้เดือน พยาธิ เป็นต้น
2. ทวิปทติรัจฉาน คือ สัตว์ดิรัจฉานที่มี 2 ขา หรือมีเท้า 2 เท้า ส่วนมากเป็นสัตว์จำพวกสัตว์ปีก เช่น ไก่ และนกชนิดต่างๆ
3. จตุปทติรัจฉาน คือ สัตว์ดิรัจฉานที่มี 4 ขา หรือมี 4 เท้า เช่น สัตว์จำพวก ช้าง ม้า วัว ควาย กวาง ละมั่ง กระทิง เป็นต้น
4. พหุปทติรัจฉาน คือ สัตว์ดิรัจฉานที่มีมากกว่า 4 ขา เป็นสัตว์ประเภทพหุปบาท คือมีเท้ามากมาย เช่น แมงมุม ตะขาบ กิ้งกือ แมงป่อง เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังสามารถแบ่งสัตว์ดิรัจฉานออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ตามหลักทางวิทยาศาสตร์คือ
- สัตว์บก ได้แก่ สัตว์ที่อาศัยอยู่เฉพาะบนบกเท่านั้น เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เก้ง กวาง ละมั่ง กระทิง สุนัข กระต่าย เป็นต้น
- สัตว์น้ำ ได้แก่ สัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำทั้งหมด เช่น ปลา วาฬ โลมา หมึก กุ้ง ปู งูทะเล เป็นต้น
- สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ได่แก่ สัตว์ที่อาศัยอยู่ได้ มีชีวิตอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ เช่น กบ อึ่งอ่าง ปลาตีน จรเข้ และเต่า เป็นต้น
สัตว์ดิรัจฉาน ยังจัดเป็น 2 จำพวกได้อีก คือ
- สัตว์เลือดอุ่น ได้แก่ สัตว์ที่อยู่บนบกทั้งหมด เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย
- สัตว์เลือดเย็น ได้แก่ สัตว์ที่อยู่ในน้ำทั้งหมด และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น ปลา กบ อึ่งอ่าง และจรเข้ เป็นต้น
สัตว์ดิรัจฉานยังมีการถือกำเนิดใน 4 ลักษณะด้วยกัน คือ
- เกิดจากครรภ์ คือ สัตว์ดิรัจฉานที่เกิดในท้องของแม่ มีการอุ้มท้องตามระยะเวลาสั้นหรือยาวนานแล้วแต่ประเภทของสัตว์ดิรัจฉานชนิดนั้นๆ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย แพะ แกะ กวาง เก้ง โลมา วาฬ และงูบางชนิด เป็นต้น
- เกิดจากไข่ คือ สัตว์ดิรัจฉานประเภทสัตว์ปีก และสัตว์เลื้อยคลานเกือบทุกประเภท เช่น เป็ด ไก่ จิ้งจก จิ้งเหลน ตุ๊กแก และงูหลายชนิด
- เกิดจากเถ้าไคล หรือสิ่งสกปรก สิ่งปฏิกูล น้ำครำ น้ำโคล หรือน้ำขัง เช่น พยาธิ หนอน ยุง แมลงปอ เป็นต้น
- เกิดอุบัติขึ้น โตเป็นหนุ่มสาวเลยทันที สัตว์ดิรัจฉานจำพวกนี้ก็คือสัตว์ดิรัจฉานกึ่งเทพบางประเภท เช่น นาค และครุฑ บางจำพวก (เพราะนาคและครุฑบางจำพวกก็ถือกำเนิดเกิดจากไข่ตามวิสัยของสัตว์ดิรัจฉานก็มี)
สัตว์เดรัจฉานมีสัญญา 3 ประการ (สัญชาติญาณ 3 ประการ)
1. กามสัญญา รู้จักเสพกาม
2. โคจรสัญญา รู้จักกินและนอน
3. มรณภยสัญญา รู้จักกลัวความตาย
สัตว์ดิรัจฉานจะมีชีวิตหรือใช้ชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณเท่านั้น ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษและการับผิดชอบชั่วดีแต่อย่างใด เพราะการรู้สึกรับผิดชอบชั่วดี หรือ “ธัมมสัญญา” ตามที่ปรากฏในพระพุทธศาสนา ก็จะมีเฉพาะในสัตว์จำพวกมนุษย์เท่านั้น
พระพุทธศาสนาจึงได้แบ่งประเภทของสัตว์ไว้ 2 ประเภทด้วยกัน คือ
1) สัตว์ประเสริฐ ได้แก่มนุษย์
2) สัตว์ดิรัจฉาน คือสัตว์ที่ไม่มีธัมมสัญญา ยังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี หรือยังไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษในแบบที่มนุษย์มี
แต่สำหรับพระโพธิสัตว์นั้น คือผู้ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งนั้น บางพระชาติของพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือกึ่งเทพกึ่งสัตว์ดิรัจฉาน เช่น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญานาคชื่อว่าภูริทัต เสวยพระชาติเป็นพญาช้างและพญาลิงเป็นต้น ก็มี ในข้อนี้ เป็นความพิเศษเฉพาะสัตว์ดิรัจฉานที่เป็นพระโพธิสัตว์เท่านั้น ซึ่งจะมี “ธัมมสัญญา” คือ เป็นตัวสำนึกรู้จักบาปบุญคุณโทษต่างจากสัตว์ดิรัจฉานทั่วไป